วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558

โลกมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน





ช่วงนี้ในแวดวงธุรกิจจะได้ยินและเริ่มตื่นตัวกับคำว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development กันมาก อาจจะเนื่องมาจากเพิ่งผ่านพ้นการประชุมสหประชาชาติมาใหม่ ๆ ซึ่งเน้นวาระเกี่ยวกับความยั่งยืน และนายกรัฐมนตรีของไทยก็เข้าร่วมด้วยและยังพูดในรายการคืนความสุขให้คนในชาติอยู่บ่อย ๆ

ต่อจากนี้เราจะคุ้นเคยกับคำนี้มากขึ้น เพราะองค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงาน เพื่อเข้าสู่แนวทางความยั่งยืนกันมากขึ้นเรื่อย ๆ คงคล้าย ๆ กับเมื่อหลายปีก่อนที่เราได้เริ่มรู้จักและค่อย ๆ คุ้นเคยกับแนวทาง
CSR หรือ Corporate Social Responsibility มาจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม กลไก สำคัญซึ่งนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของภาคธุรกิจ ได้แก่ ความรับผิดชอบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ที่ไม่ใช่เพียงแค่การทำกิจกรรมเพื่อสังคมที่อยู่นอกกระบวนการธุรกิจ หรือเพียงเพื่อประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์องค์กร อย่างเช่นไปปลูกต้นไม้แล้วก็จบ ๆ กันไป แต่ต้องสามารถผนวกความรับผิดชอบทั้งสามส่วนเข้าไปในทุกกระบวนการทางธุรกิจ จนพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของขีดความสามารถขององค์กร

ปัจจุบันองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยเริ่มขยับตัวเข้าสู่กระบวนการการ พัฒนาอย่างยั่งยืนกันแล้ว เช่น
SCG, ปตท. และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ต่อไปก็จะขยายมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหน่วยงานภาครัฐรับหน้าที่ไปช่วยขยายผลต่อ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้กับองค์กรธุรกิจในเรื่องความยั่งยืน หรือการสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจต่าง ๆ หันเข้ามาสู่กระบวนการนี้กันมากขึ้น

เป็นต้นว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ก็ทำหน้าที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ตอบรับการประเมินในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ หรือ
DJSI หรือการมอบรางวัลองค์กรที่มีแนวทางปฏิบัติด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องหรือเป็นส่วนหนึ่งหรือนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยกันทั้งสิ้น




ในปี 2015 นี้ สมาชิกสหประชาชาติ 193 ประเทศได้ตกลงรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ซึ่งจะนำมาใช้แทนเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals: MDGs) ที่จะหมดอายุลงในปีนี้

โดยสหประชาชาติกำหนดให้ภายในปี ค.ศ. 2030 จะต้องบรรลุข้อตกลง SDGs ซึ่งประกอบด้วยเป้าหมายรวม 17 ข้อ ครอบคลุมการขจัดความยากจนและความหิวโหยในทุกพื้นที่, ลดความเหลื่อมล้ำทั้งภายในและระหว่างประเทศ, สร้างสังคมที่มีความสงบสุข ยุติธรรม และการปกป้องสิทธิมนุษยชน, ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ รวมทั้งเสริมพลังแก่สตรีและเด็กผู้หญิง, ตลอดจนการปกป้องโลกและทรัพยากรธรรมชาติ

เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน” Sustainable Development Goals (SDGs) 17 ประการ ได้แก่

1.    ขจัดความยากจนทุกรูปแบบทั่วทุกมุมโลก
2.    ขจัดความหิวโหย สร้างความมั่นคงด้านอาหาร ยกระดับโภชนาการและส่งเสริมการเกษตรอย่างมั่นคงยั่งยืน
3.    สร้างหลักประกันสุขภาพและส่งเสริมการกินดี อยู่ดีของคนทุกกลุ่ม ทุกวัย
4.    สร้างหลักประกันเท่าเทียมกันด้านคุณภาพการศึกษาและเพิ่มโอกาสการเรียนรู้เพื่อทุกคน
5.    สร้างความเท่าเทียมกันทางเพศ ไม่ว่าเด็กหญิงหรือสตรี
6.    สร้างหลักประกันและแผนจัดการยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำและสุขอนามัยเพื่อทุกคน
7.    สร้างหลักประกันการเข้าถึงการมีใช้และพึ่งพาพลังงานสมัยใหม่อย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน
8.    ส่งเสริมความยั่งยืนของสภาพการณ์เติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนมอบโอกาสการทำงานที่เหมาะสมเพื่อทุกคน
9.    เร่งสร้างและฟื้นสภาพระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมยั่งยืนและสนับสนุนก่อเกิดนวัตกรรม
10. ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างบุคคลจนถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างประเทศชาติหรือดินแดน
11. ทำให้เมืองหรือชุมชนพักอาศัยของมนุษย์ฟื้นคืนสภาพยั่งยืนมั่นคงและปลอดภัย
12. สร้างหลักประกันการบริโภคอุปโภคได้อย่างยั่งยืนและรักษารูปแบบของระบบการผลิตสิ่งของอุปโภคบริโภค
13. เร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อสู้จัดการปัญหาชั้นบรรยากาศโลกเปลี่ยนและเตรียมพร้อมรับผลกระทบ
14. อนุรักษ์และใช้ทรัพยากรทางทะเลทุกอย่างให้ได้อย่างยั่งยืนพร้อมกับการพัฒนา
15. ปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมให้ยั่งยืน ลดการทำลายแผ้วถางป่าไม้และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
16. ส่งเสริมให้เกิดสันติภาพและพัฒนาทุกสังคมอย่างยั่งยืน มอบความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายที่ถูกผลกระทบ
17. ทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมยึดมั่นนำไปปฏิบัติ

************************************

ทั้งนี้ ในปี 1999 ได้มีการริเริ่ม ข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ หรือ UN Global Compact เพื่อเชิญชวนให้บรรษัทพลเมืองทั้งหลายเข้าร่วมทำข้อตกลงภายใต้หลักสากล 10 ประการ สำหรับนำไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจให้เป็นบรรษัทพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ หรือ Responsible Corporate Citizen ในสังคมโลก

หลักสากล 10 ประการดังกล่าว เกี่ยวข้องกับประเด็นหลัก 4 เรื่อง ได้แก่

เรื่องสิทธิมนุษยชน
(Human Rights)
เรื่องแรงงาน
(Labour)
เรื่องสิ่งแวดล้อม (Environment) และ
เรื่องการต้านทุจริต
(Anti-Corruption)

โดยหลัก
10 ประการนั้น ประกอบด้วย

สิทธิมนุษยชน
หลักประการที่ 1 - สนับสนุนและเคารพในการปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ประกาศในระดับสากล ตามขอบเขตอำนาจที่เอื้ออำนวย
หลักประการที่ 2 - หมั่นตรวจตราดูแลมิให้ธุรกิจของตนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน แรงงาน
หลักประการที่ 3 – ส่งเสริมสนับสนุนเสรีภาพในการรวมกลุ่มของแรงงานและการรับรองสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองอย่างจริงจัง
หลักประการที่ 4 - ขจัดการใช้แรงงานเกณฑ์และที่เป็นการบังคับในทุกรูปแบบ
หลักประการที่ 5 - ยกเลิกการใช้แรงงานเด็กอย่างจริงจัง
หลักประการที่ 6 - ขจัดการเลือกปฏิบัติในเรื่องการจ้างงานและการประกอบอาชีพ

สิ่งแวดล้อม
หลักประการที่ 7 - สนับสนุนแนวทางการระแวดระวังในการดำเนินงานที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
หลักประการที่ 8 - อาสาจัดทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการยกระดับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
หลักประการที่ 9 - ส่งเสริมการพัฒนาและการเผยแพร่เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การต้านทุจริต
หลักประการที่ 10 - ดำเนินงานในทางต่อต้านการทุจริต รวมทั้งการกรรโชก และการให้สินบนในทุกรูปแบบ

************************************

ที่มาภาพและข้อมูล:
http://www.cheatography.com/davidpol/cheat-sheets/10-principles-of-the-un-global-compact/
http://www.healthdata.org/global-goals-sustainable-development
http://worldfamilysummit.org/sustainable-development-goals/
http://www.thairath.co.th/content/528619
http://www.thaicsr.com/



วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

แวะเซี่ยงไฮ้ ไปนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูง

จีนมิติใหม่ ความไวสูง

ปลายเดือนที่แล้วมีโอกาสเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ แว่บแรกที่ได้เห็นใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ก็รู้สึกว่าความเจริญไม่ค่อยต่างจากเมืองใหญ่ ๆ ในแถบยุโรปหรืออเมริกาเลย จะต่างก็แค่ผู้คนที่หน้าตาแบบเรา ๆ  





เซี่ยงไฮ้แบ่งเมืองออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งเมืองเก่ากับฝั่งเมืองใหม่ มีแม่น้ำคั่นกลาง เหมือน ๆ กับฝั่งกรุงเทพฯ กับฝั่งธนบุรีบ้านเรานั่นเอง โดยทั้งสองฝั่งมีความแตกต่างทางสถาปัตยกรรมอย่างชัดเจน

การเดินทางระหว่างเมืองเก่ากับเมืองใหม่ ก็มีเส้นทางรถยนต์เข้าอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำ ทำให้เห็นวิศวกรรมการก่อสร้างที่ล้ำหน้าของจีน


ฝั่งเมืองเก่าจะมีกลิ่นอายความเก๋าอยู่ (นึกถึงซีรี่ส์เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้) เป็นฝั่งที่ตั้งของที่อยู่อาศัย เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง รวมทั้งคอนโดรุ่นเก่า เป็นเสน่ห์เร้าใจเรามาก เห็นแล้วนึกย้อนไปถึงยุค 60s - 70s





ตอนนั่งรถผ่านย่านต่าง ๆ ในฝั่งเมืองเก่านี้ ก็ได้เจอะเจอกับ Street Fashion ของแท้แบบแปลกตาตรึงใจ ทั้งเสื้อผ้าทั่วไปและชุดชั้นในทั้งส่วนบนและส่วนล่างของบุรุษและสตรี ที่แขวนตากแดดเรียงรายอยู่ริมถนนอย่างไม่แคร์สายตาผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา ตากกันตั้งแต่หน้าบ้านยันป้ายรถเมล เห็นครั้งแรกก็รู้สึกตะลึงพรึงเพริด นึกในใจว่า “เฮ้ย ตากกันอย่างนี้เลยรึ” คนเดินถนนก็รอดทั้งกางเกงในและยกทรงกันอย่างเฉยชา นี่ถ้าเป็นบ้านเรา คงได้มีของขลังเสื่อมกันมั่งหละ ^^ แต่พอนั่งรถผ่านมาเรื่อย ๆ ก็จะชินตาไปเอง เพราะมีอยู่ทุกที่ทุกมุมตึกก็ว่าได้ พอชินแล้ว ก็อาจจะรู้สึกว่า เออ ก็เกร๋ไกร๋ไปอีกแบบเนอะ หาดูไม่ได้ในบ้านเรา ^^

                                          (ขออภัยรูปไม่ชัด)


แต่หากข้ามฟากมาฝั่งเมืองใหม่ ก็จะเหมือนอยู่คนละโลกเลย ฝั่งนี้มีการวางผังเมืองที่ค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน ไม่ต่างกับเมืองใหญ่ ๆ ในยุโรปหรืออเมริกา มองไปทางไหนก็เห็นแต่หมู่ตึก อาคารออฟฟิศสมัยใหม่ สูงเสียดฟ้า ต้องเงยหน้าตั้งฉากเพื่อให้เห็นความงดงามของยอดตึก ฝั่งนี้จะไม่เห็นที่พักอาศัยเลย ถูกออกแบบให้เป็นย่านธุรกิจสมัยใหม่โดยเฉพาะ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะฝั่งนี้เพิ่งถูกพัฒนาเมื่อประมาณ 20 กว่าปีมานี้เอง จึงสามารถวางผังเมืองอย่างเป็นระบบระเบียบได้ตามปรารถนา 



เราไปเซี่ยงไฮ้ในช่วงที่ใกล้วันหยุดยาวฉลองวันชาติประจำปี ผู้คนอาจจะเริ่มลางานกันบ้างแล้ว จึงไม่ค่อยได้สัมผัสกับการจราจรอันหนาแน่นคับคั่งดั่งคำร่ำลือเท่าใดนัก ที่พบเจอ ก็ติดขัดสาหัสแบบไม่ต่างจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรบ้านเราสักเท่าไร แต่ที่ต่างกันมากเห็นจะเป็นตรงที่ เซี่ยงไฮ้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีระบบรถโดยสารสาธารณะที่ดีที่สุดในประเทศจีน



มีทั้งแท็กซี่ รถเมลโดยสารที่ผู้คนนั่ง-ยืนแบบสบาย ๆ ไม่เบียดเสียด และขนส่งแบบรางที่มีทั้งรถไฟใต้ดินธรรมดาอย่าง MRT บ้านเรา รถไฟฟ้าพลังแม่เหล็กหรือ Maglev ที่เป็นรถไฟที่วิ่งเร็วที่สุดโลก ไปจนถึงรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมระหว่างเมือง 

ไหน ๆ ก็มาถึงเซี่ยงไฮ้แล้ว เมืองที่มีรถไฟพลังแม่เหล็กที่ขึ้นชื่อ พวกเราก็อยากสัมผัสประสบการณ์ความเร็วสูงสุดในโลกกันสักหน่อย แต่ด้วยเวลาที่ไม่ลงตัว เราจึงต้องเปลี่ยนแผนไปขึ้นรถไฟหัวกระสุนหรือรถไฟฟ้าความเร็วสูงแทน ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะมีแนวโน้มว่าประเทศไทยอาจจะนำโครงการนี้มาทำในไม่ช้าไม่นาน (ถ้าไม่ได้ฝันไป ^^)

[เท่าที่รู้ก็มีสองเส้นทางที่รัฐบาลอยากให้เอกชนมาลงทุน คือ เส้นกรุงเทพ- หัวหิน เห็นว่าให้ไทยเบฟไปศึกษา กับเส้นกรุงเทพฯ - ระยอง ที่ห้เครือซีพีไปทำ แต่จะให้ใครทำ จะเส้นไหน ก็เอาซะทีเหอะ อยากให้เมืองไทยมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงะเขามั่งอ้ะ]




กลับมาที่เรื่องของเราต่อ

ด้วยความที่มีเวลาจำกัด จึงโดยสารได้แค่ในระยะสั้น ๆ คณะเราขึ้นจากสถานีหงเฉียว ในเขตมหานครเซี่ยงไฮ้ ไปยังเมืองหังโจว ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของจีน หรือที่รู้จักกันว่าเป็นสวรรค์บนดิน อยู่ห่างจากเซี่ยงไฮ้ราว ๆ 190 กิโลเมตร นั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงไปไม่ทันถึงชั่วโมง จอดแค่สองสถานีก็ถึง










พวกเราโชคดีหน่อยที่มีคนจัดการเรื่องตั๋วและเลือกที่นั่งให้ จึงได้ใช้บริการชั้นดีที่สุด (ที่นั่นเรียกว่า ชั้น Business) หรือเทียบกับชั้นที่เรียกว่า First Class ในบ้านเรา ซึ่งเมื่อขึ้นรถมาก็รู้สึกว่าอลังการกว่าที่คิด ห้องโดยสารเบาะหนังกว้างขวาง จำนวนที่นั่งน้อย มีที่ด้านหน้าให้เหยียดขาได้อย่างสบาย ไม่ต้องกลัวว่าจะไปเตะที่นั่งของคนข้างหน้า เก้าอี้มีปุ่มปรับเอนนอน ที่วางของพับเก็บได้ พร้อมจอมอนิเตอร์ทีวีทุกที่นั่ง เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกสำหรับนักธุรกิจหรือคนที่ต้องการพักผ่อนจริง ๆ โดยเก้าอี้นั่งยังสามารถปรับหมุนเข้าหากันได้ หากมาเป็นหมู่คณะก็ปรับให้หันหน้ามาคุยกันหรือเจรจาธุรกิจการค้าได้อย่างเป็นส่วนตัว




นอกจากนี้ยังมีพนักงานบริการเครื่องดื่มเหมือนแอร์โฮสเตสบนเครื่องบิน มีห้องน้ำที่กว้างกว่าบนเครื่องบินนิดนึง แต่ที่ดีกว่าเครื่องบินอย่างเห็นได้ชัดคือ พื้นที่ที่สามารถเดินไปหากันได้อย่างสบาย ไม่ต้องนั่งคุดคู้อยู่แต่ที่เก้าอี้ของตัวเอง แถมได้ชมวิวทิวทัศน์ข้างทางอย่างไม่น่าเบื่ออีกด้วย เหมาะสำหรับการเดินทางไกล ๆ ที่ใช้ระยะเวลานาน 

                        น้ำและของว่างที่แจกบนรถไฟ ไปช่วงเทศกาลไหว้เลยได้กินขนมไหว้พระจันทร์


รถไฟขบวนที่เรานั่ง วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ดูจากตัววิ่งดิจิตัลที่แสดงไว้) แต่ก็ไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วคงที่แบบนี้ตลอดเส้นทาง ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ที่ 280 – 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่นิ่มและนิ่งมากทีเดียว ไม่โคลงเคลง ไม่สะเทือน ลองทดสอบด้วยการเอาขวดน้ำวางไว้ เพื่อดูอาการสั่นสะเทือน แทบไม่พบเลย 



ส่วนตัวแล้ว เรายกสองนิ้วโป้งให้ thumbs up เลยนะกับรถไฟฟ้าความเร็วสูงหัวกระสุนเนี่ย เลิศอ่ะขอบอก นี่ถ้ารัฐบาลเมืองไทยเปิดโหวตว่าจะให้สร้างหรือไม่ให้สร้าง เราเชียร์สุดฤทธิ์เลย ยังไงเรากว่า รถไฟฟ้าความเร็วสูงน่ามี และก็เหมาะกับคนไทย เพราะเป็นพวกนักเดินทาง ชอบเดินทาง ไม่ว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือคนต่างจังหวัดมาทำงานในเมือง เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีทีเดียว





แล้วก็คิดว่า รถไฟฟ้าความเร็วสูงสะดวกสบายกว่าเครื่องบิน เดินยืดเส้นยืดสายระหว่างการเดินทางได้ มีทิวทัศน์ข้างนอกให้มอง มีความนิ่มและความนิ่งในการเดินรถดีกว่ารถทัวร์ รถไฟธรรมดา และเครื่องบิน เพราะไม่มีปัญหาเรื่องการโคลงเคลง ระยะเบรค การตกหลุมอากาศ ความเสียวตอนออกตัวและหยุดตัว ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าล้อจะกระแทกพื้นแรง ปัญหาเรื่องความกดอากาศก็น้อยกว่าเครื่องบิน ไม่ต้องกังวลเรื่องหูอื้อหรืออาการปวดหู ความเงียบก็แซงหน้า

ที่สำคัญคือความปลอดภัยสูงกว่าการเดินทางโดยรถยนต์และเครื่องบิน

จุดเด่นที่สุดคือเรื่องของความตรงต่อเวลา เป๊ะมาก (แต่อันนี้พอมาเมืองไทยแล้วจะยังเป๊ะอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ถ้าทั่วโลกเค้าเป๊ะกันหมด เมืองไทยจะแหกคอกอยู่ที่เดียว ก็ให้มันรู้ไป
^^)



ด้านราคาเราก็ไม่รู้ว่าพอเมืองไทยมาทำแล้วจะเป็นยังไง แต่ก็คิดว่าไม่น่าและไม่ควรจะสูง เพื่อให้คนส่วนใหญ่มีสิทธิใช้บริการได้ แถมยังต้องแข่งขันกับทั้งเครื่องบิน รถทัวร์ และรถไฟธรรมดา

ที่แน่ ๆ ในจีนราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าความเร็วสูงไม่สูงจนแตะต้องไม่ถึง เป็นราคาที่คนส่วนใหญ่จ่ายได้ เพราะรัฐบาลถือว่าเป็นระบบขนส่งเพื่อประชาชนจึงควบคุมราคาให้เหมาะสมและไม่มีนโยบายขึ้นราคา ได้ฟังคนที่นั่นเล่าอย่างนี้แล้วรู้สึกดีว่า รัฐบาลของเขาห่วงใยประชาชนอย่างจริงจัง ใช้เงินลงทุนสูงกับสาธารณูปโภคชั้นสูง แต่คิดราคาไม่แพงและไม่คาดหวังผลกำไรสูงกลับมา อยากให้เมืองไทยคิดได้แบบนี้บ้างจัง เราจะได้มีรถไฟฟ้าความเร็วสูงกันซะที  


[ราคาตั๋ว 219.5 หยวน ขึ้นจากสถานีหงเฉียว ไปลงสถานีหังโจว ตรงที่เป็น XXXXX นั่นคือชื่อผู้โดยสาร ตรง QR Code นั่น เมื่อเอาไปส่องกับเครื่องอ่าน QR Code แล้วจะเห็นรายละเอียดของเที่ยวโดยสารทั้งหมด ตลอดจนแผนที่ที่จะพาเราไปยังประตูทางขึ้นรถไฟด้วย สะดวกและไฮเทคสุด ๆ อ้ะ]